ในปัจจุบัน การทำ เคลือบแก้ว หรือ เคลือบเซรามิก มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันหลักๆ คือ ระบบทาและระบบพ่น อย่างไรก็ตามมีการสอบถามและเปรียบเทียบกันอย่างมาก ทั้งในกลุ่มลูกค้าที่สนใจ และกลุ่มร้านศูนย์บริการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก เกี่ยวกับทั้งสองระบบนี้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน? แบบไหนทนทานมากกว่ากัน? หรือแบบไหนให้ความเงามากกว่ากัน? วันนี้ 87Garage พาทุกท่านมาหาคำตอบกันครับ
ก่อนอื่นเรามาดูการเคลือบแก้ว หรือ เคลือบเซรามิกทั้ง 2 ประเภทกันก่อนว่าเป็นอย่างไร
วิธีการทำเคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิก แบบทา (Hand made)
เป็นวิธีที่เทน้ำยาเคลือบลงบนฟองน้ำหรือผ้า และทาไปบนผิวรถยนต์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในศูนย์บริการคาร์แคร์นิยมใช้กันมากที่สุด สามารถใช้ได้กับน้ำยาเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกทุกเกรด คุณภาพของงานขึ้นอยู่กับโครงสร้างของน้ำยาแต่ละยี่ห้อ รวมถึงการเตรียมผิวของช่างผู้ชำนาญการที่ต้องได้รับการฝึกฝน เพราะหากทาไม่ดีและไม่ทั่วแล้ว ก็จะมีโอกาสที่ชั้นเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกไม่กระจายปกป้องผิวรถทั้งคัน
วิธีการทำเคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิก แบบพ่น (Spray Gun)
ระบบนี้เป็นวิธีที่ต้องมีขั้นตอนและการเตรียมอุปกรณ์ที่ค่อนข้างยากกว่าแบบทา เนื่องจากการพ่นเป็นการเทน้ำยาผ่านอุปกรณ์การพ่นเฉพาะทาง ก่อนที่จะพ่นน้ำยาเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกลงบนสีผิวของรถยนต์ มีตัวแปรที่ต้องระวังหลายอย่างเช่น แรงลม อุณหภูมิที่เหมาะสม รวมถึงระยะห่างระหว่างสีรถกับกาที่ใช้พ่น ช่างผู้ชำนาญการต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะหากส่วนที่ไม่ต้องการเคลือบ เช่น กระจก พลาสติก ยาง สัมผัสกับละอองน้ำยาเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิก อาจทำให้เกิดรอยด่างได้
เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ระบบทาแล้วเช็ด กับ ระบบพ่นแล้วไม่ต้องเช็ด แบบไหนดีกว่า?
ขึ้นอยู่กับการออกแบบดีไซน์การใช้งานของน้ำยาเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกแบรนด์นั้นๆ บางแบรนด์ถูกออกแบบให้ใช้ระบบทา รอน้ำยาเซ็ตตัวแล้วเช็ดน้ำยาส่วนเกิน บางแบรนด์ถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ทั้งสองระบบทาและพ่น แล้วเช็ดน้ำยาส่วนเกิน หรือบางแบรนด์ถูกออกแบบมาให้ใช้ระบบมาหรือพ่นแล้วไม่ต้องเช็ด ซึ่งทุกวิธีที่กล่าวมาไม่ได้มีผลต่อคุณภาพของงาน เพราะคุณภาพของผลงานรถที่เคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกนั้น ขึ้นอยู่กับการเตรียมผิวก่อนเคลือบ และคุณภาพของน้ำยาเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิกที่ใช้เคลือบ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเคลือบเซรามิกระบบพ่นให้ภาพลักษณ์ที่ดูดีกว่าและดูทันสมัยกว่าระบบทา
หากคุณภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบบทาและพ่น ทำไมถึงต้องมี 2 ระบบ?
เนื่องจากการออกแบบรถยนต์ไม่ได้มีเพียงแค่สมรรถนะ แต่รวมถึงการมีดีไซน์ออกแบบที่สวยงาม ทำให้ชิ้นส่วนรถ มีส่วนว้าวส่วนโค้ง และซอกมุมแตกต่างกัน การเคลือบแก้วเซรามิกระบบพ่นสามารถช่วยเติมเต็มในส่วนของที่การทาเคลือบแก้ว หรือเคลือบเซรามิกเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำได้
ข้อดี-ข้อเสียของการเคลือบแก้วเซรามิกระบบทา
เป็นที่รู้กันว่าข้อดีของการทาเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกจะให้ความหนาแน่นของชั้นเคลือบที่สม่ำเสมอกัน สามารถลงน้ำยาได้อย่างทั่วถึงพื้นผิวรถยนต์ได้อย่างเหมาะสมที่สุด และไม่สิ้นเปลืองน้ำยา แต่มีข้อจำกัดในการทาคืออาจไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะตามซอกมุมหรือตามซอกเล็กๆ
ข้อดี-ข้อเสียของการเคลือบแก้วเซรามิกระบบพ่น
สำหรับข้อดีของการเคลือบเซรามิกแบบพ่น สามารถเข้าถึงได้ทุกซอกทุกมุม แต่อาจจะสิ้นเปลืองน้ำยามากกว่า เพราะการพ่นน้ำยาออกไปจะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของน้ำยาไปในอากาศมากถึง 70% และเสี่ยงต่อได้ชั้นระดับความหนาที่ไม่เพียงพอทั่วทั้งคัน หากช่างพ่นไม่ได้พ่นในระดับที่สม่ำเสมอเดียวกัน และเนื่องจากชั้นเคลือบมีความใสทำให้การตรวจเช็คความหนาบางของชั้นเคลือบหลังจากพ่นไปแล้วเป็นไปได้ยากกว่าการเคลือบแบบทา
สรุปการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิกระบบใดดีที่สุด?
ในมุมมองของผู้เขียนคิดว่า การเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิก “ระบบทากึ่งพ่น” ดีที่สุด ซึ่งเราสามารถนำจุดเด่นของแต่ละแบบมาใช้ร่วมกัน ทำให้ได้ประสิทธิภาพในการปกป้องอย่างเต็มที่ครอบคลุมทุกส่วนของตัวรถ สามารถเก็บรายละเอียดงานเคลือบตามซอกมุมได้ ลบข้อเสียของแต่ละระบบออกไปเพื่อให้ได้การปกป้องที่ดีสุด อีกทั้งยังช่วยควบคุมต้นทุนน้ำยาผลิตภัณฑ์ของผู้ให้บริการ ทำให้ได้ราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่าแก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ